หน่วยที่ 5 คอมพิวเตอร์กับงานธุรกิจ

ความหมายของธุรกิจ(Meaning of business)

      "ธุรกิจ"หมายถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การจัดจำหน่าย และการบริการ โดยภายในหน่วยงานหรือธุรกิจนั้น ๆ มีการนำทรัพยากรที่มีอยู่มาผสมผสานกันอย่างมีระบบ มีระเบียบตามกฏเกณฑ์ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนหรือผู้บริโภค ในขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดผลประโยชน์หรือบรรลุตามเป้าหมายของธุรกิจ และไม่ก่อให้เกิดมลภาวะที่ไม่ดีต่อสิ่งแวดล้อม

  1. ธุรกิจ หมายถึง องค์การ หรือกิจการที่ก่อให้เกิดสินค้า และบริการ ธุรกิจเป็นกระบวนการทั้งหมดของการนำเอาทรัพยากรธรรมชาติมาเปลี่ยนสภาพตามกรรมวิธีการผลิตด้วยแรงคน และเครื่องจักรให้เป็นสินค้า เพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่ต้องการ กิจกรรมของธุรกิจจึงรวมทั้งการผลิต การซื้อ ขาย การจำแนกแจกจ่ายสินค้า การขนส่ง การธนาคาร การประกันภัย และอื่น ๆ
  2. ธุรกิจ หมายถึง กิจกรรมต่างๆ ที่ทำให้มีการผลิตสินค้า และบริการ มีการซื้อขายแลกเปลี่ยน จำหน่าย และกระจายสินค้าและมีประโยชน์หรือกำไรจากกิจกรรมนั้น ธุรกิจมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของมนุยษ์ในสังคมปัจจุบันมากเพราะนอกจากจะเป็นองค์การที่ผลิตสินค้า หรือบริการที่เป็นปัจจัยพื้นฐานของการดำรงชีวิต หรือปัจจัย4 การประกอบธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นขนาดเล็ก หรือใหญ่แค่ไหนก็ตาม สิ่งที่สำคัญ คือ กำไร เพราะเป็นแรงจูงใจของการดำเนินการทางธุรกิจ ก่อให้เกิดการแข่งขันและการขยายตัวทางธุรกิจให้เจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น
  3. ธุรกิจ หมายถึง ความพยายามที่เป็นแบบแผนของนักธุรกิจในการผลิต และขายสินค้า หรือบริการ เพื่อสนองความต้องการของสังคมโดยมุ่งหวังกำไร   ความสำคัญของธุรกิจ     ความหมายของธุรกิจและการประกอบธุรกิจ
  คำว่า "ธุรกิจ" ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า "Business" ซึ่งมาจากคำว่า Busy ที่แปลว่า ยุ่ง,วุ่นมีงานมากมีธุระยุ่ง ดังนั้นธุรกิจจึงเป็นเรื่องที่จะต้องคิด ต้องแก้ปัญหา และต้องพัฒนาอยู่ตลอดเวลา
ความจริงคำว่า ธุรกิจ นี้เป็นคำกลาง ๆ ไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องของเอกชนหรือของรัฐบาล และกิจกรรมต่าง ๆ ที่กระทำกันโดยทั่ว ๆ ไปนั้นก็ถือว่าเป็นธุรกิจ เพียงแต่เวลาที่เราพูดถึงธุรกิจเรามักจะรับรู้ว่าเป็นเรื่องของเอกชน เป็นเรื่องขอการมุ่งหวังกำไร เพราะฉะนั้นความหมายที่รับรู้กัน ณ วันนี้ก็คือว่า ธุรกิจเป็นเรื่องของกิจการที่เข้ามารับความเสี่ยง
     ความหมายของธุรกิจ (Businessหมายถึง กิจกรรมทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งมีความเกี่ยวพันในวงการของสถาบัน เพื่อที่จะจำหน่ายและให้บริการภายใต้กฎเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้ โดยมีความสัมพันธ์กับบริการอื่นและกลุ่มผู้ทำงานร่วมมือให้บรรลุถึงจุดหมายอันเดียวกัน คือ ความสำเร็จของหน่วยงาน
   การประกอบธุรกิจ หมายถึง การผลิตสินค้าและบริการ และการนำสินค้าและบริการนั้นมาจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภค ฉะนั้นถ้าการผลิตสินค้าหรือบริการนั้น ๆ ได้ถูกนำมาใช้บริโภคเอง ไม่ได้นำไปขายหรือจำหน่ายจึงเรียกว่า การอุปโภคบริโภค (Consumption) ของตนเอง แต่ถ้าการผลิตสินค้าและบริการได้ถูกนำไปขายหรือจำหน่ายต่อไปจึงเรียกว่า การค้า (Commerces) / การประกอบธุรกิจ (Business Activities)
    สรุปก็คือว่า ธุรกิจ เป็นกระบวนการดำเนินกิจกรรมทางด้านการผลิต การจำหน่าย และการให้บริการนั่นเอง
  



    ความสำคัญของธุรกิจ
         ธุรกิจเป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินงานในการสนองความต้องการของผู้บริโภคหรือประชาชนโดยนำทรัพยากรต่าง ๆ มาเข้ากระบวนการที่เรียกว่า "การดำเนินธุรกิจ" ซึ่งธุรกิจเหล่านั้นมีผลต่อการพัฒนาประเทศและสังคม พอจะสรุปได้ดังนี้

  1. การดำเนินงานของธุรกิจก่อให้เกิดการนำทรัพยากรของประเทศมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
  2. ช่วยให้ผู้บริโภคหรือประชาชนได้ใช้สินค้าหรือบริการ เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ของตนเองให้ดีขึ้น
  3. ธุรกิจต่าง ๆ ช่วยขจัดปัญหาการว่างงาน และช่วยกระจายรายได้ไปสู่ประชาชน
  4. ช่วยเพิ่มพูนรยได้ให้กับประเทศในรูปแบบของภาษีอากร
  5. ประชาชนหรือผู้บริโภคมีโอกาสได้เลือกสินค้าหรือบริการที่สนองความพึงพอใจสูงสุดได้ง่าย เพราะธุรกิจต่าง ๆ มีการแข่งขันกัน เพื่อพัฒนาสินค้าหรือบริการ
  6. ประเทศสามารถนำภาษีอากรที่จัดเก็บไปพัฒนาประเทศได้
      ธุรกิจมีอิทธิพลอย่างมากต่อชีวิตประจำวันและมีความจำเป็นต่อเศรษฐกิจ ทั้งนี้เนื่องจากมนุษย์มีความต้องการเป็นพื้นฐาน และเพื่อขวานขวายให้ได้มาซึ่งสิ่งต่าง ๆ สำหรับมาบำบัดความต้องการของตนเองและครอบครัว จึงก่อให้เกิดกิจกรรม (Activities) ประเภทต่าง ๆ ที่ถือว่าเป็นธุรกิจขึ้น ธุรกิจจึงเกิดขึ้นโดยมีจุดมุ่งเพื่อจะบำบัดหรือสนองความต้องการของมวลมนุษย์นั่นเอง

ธุรกิจเป็นพลังผลักดันที่ครอบคลุมไปทั่วสังคมของมนุษย์ เป็นที่ก่อให้เกิดการว่าจ้างแรงงาน เป็นแหล่งที่ใช้ทรัพยากรมากที่สุด เป็นแหล่งที่ก่อให้เกิดรายได้และภาษีอากร ซึ่งแต่ละปัจจัยดังกล่าวนี้มีอิทธิพลที่จะก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคม

ความสำเร็จของธุรกิจขึ้นอยู่กับความสามารถและความชำนาญของมนุษย์ตลอดจนสุขภาพและความคิดอ่าน เพราะพลังคนเป็นสิ่งสำคัญในการประกอบการ อย่างไรก็ตามธุรกิจต่าง ๆ นั้นมิได้ตั้งขึ้นแต่เพียงเพื่อแสวงหากำไรเท่านั้น หากยังได้ทำประโยชน์ให้กับสังคมโดยการจัดให้มีสินค้าและบริการสนองตอบความต้องการของสังคมด้วย



   โครงสร้างระบบธุรกิจ (Enterprise Business Systems)
       Customer Relationship Management (CRM) คือ การมองลูกค้าเป็นสำคัญ เพื่อสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทั้งหมด จึงต้องใช้ระบบต่างๆ เพื่อสามารถรู้ถึงความต้องการของลูกค้า และ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีเพื่อให้ลูกค้าเกิดความพอใจ
จะต้องเป็นช่องทางที่พนักงานสามารถเข้าถึงข้อมูลของบริษัทได้ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ณ ขณะนั้น
จะต้องเป็นช่องทางที่ลูกค้าเองก็สามารถเข้าดูข้อมูลได้ว่า ณ ช่วงเวลานั้นทางบริษัทมีโปรโมชั่นอะไรให้เค้าบ้าง
โดยตัว CRM จะเป็น cross-functional และ เป็นระบบแบบ automates เพื่อตอบสนองความต้องการและเชื่อมโยงการทำงานต่างเข้าด้วยกัน
 Application Clusters in CRM สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ส่วนด้วยกันคือ

  1. ช่วยในด้านของการติดต่อกับลูกค้า
  2. ช่วยในด้านของการขาย
  3. ช่วยในด้านของการทำการตลาด
  4. สนับสนุนบริการให้กับลูกค้า
  5. รับษาลูกค้าและคงความจงรักภักดี ของลูกค้าต่อไปในอนาคต



     โครงสร้างระบบในงานรธุรกิจ ความหมายของระบบระบบ (System) หมายถึง ชุด (Set) ของส่วนประกอบ (Element) ที่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน โดยส่วนประกอบเหล่านั้นดำเนินงานร่วมกันเป็นกลุ่ม เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายบางอย่าง ตัวอย่างของระบบที่พบเห็นกันได้ทั่วไปก็คือ ระบบคอมพิวเตอร์(Computer System) โดยระบบคอมพิวเตอร์ประกอบด้วย
     1. ฮาร์ดแวร์(Hardware)
     2.  ซอฟต์แวร์(Software)
     3.  คน (Peopleware)
     4. ข้อมูลและสารสนเทศ (Data and Information)
     5.  กระบวนการต่าง ๆ ในการดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการประมวลผล
     6.  กระบวนการแสวงหาข้อมูล ดิบและข่าวสาร เพื่อนำมาใช้ในระบบ
          
        คุณสมบัติที่สำคัญอีกอย่างของระบบที่เราสามารถพบเห็นได้บ่อย ๆ ก็คือ ระบบมีขอบเขตและมีระบบย่อย ๆ ซ้อนกันอยู่ภายใน ซึ่งระบบที่มีควรจะมีระบบย่อย ที่ทำงานได้สมบูรณ์มีการสื่อสารโต้ตอบภายในระหว่างระบบย่อย และมีการ   ตรวจสอบการทำงาน ทั้งนี้เพื่อให้ระบบสามารถดำเนินการไปตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ได้ตัวอย่างเช่น ระบบธุรกิจ (Business System) ซึ่งภายในประกอบด้วยระบบย่อยต่าง ๆ มากมาย เช่น ระบบการผลิต ระบบการตลาด ระบบบัญชีระบบสินค้าคงคลัง และระบบบริหารงานบุคคล เป็นต้น
   จากตัวอย่างของระบบที่ยกมาทั้งระบบคอมพิวเตอร์และระบบธุรกิจ จะเห็นว่าองค์ประกอบของระบบสามารถแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะด้วยกัน คือ


  1. สิ่งที่สัมผัสได้ หมายถึง สิ่งที่เป็นวัตถุสิ่งของ หรือสิ่งมีชีวิตที่สามารถจับต้องได้เช่นฮาร์ดแวร์บุคคล รถยนต์หรือข้าวของเครื่องใช้ในการดำเนินงานของระบบ
  2. แนวความคิดที่เป็นนามธรรม หมายถึง สิ่งที่อยู่ในระบบที่ไม่สามารถมองเห็นหรือจับต้องได้เช่น ข้อมูลข่าวสาร หรือเหตุการณ์ต่าง ๆนอกจากนี้แล้ว จากตัวอย่างของระบบที่ยกมานั้น ยังแสดงถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับระบบ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ สภาพแวดล้อม (Environment) ภายนอกระบบตัวระบบ (System) และส่วนประกอบของระบบ (System elements) ซึ่งก็คือสิ่งที่อยู่ภายในระบบนั่นเอง  ทำความเข้าใจระบบในการศึกษาหรือทำความเข้าใจถึงการทำงานของระบบใด ๆ ก็ตาม เราควรพิจารณาถึงปัจจัยให้ครบทั้ง 4 มุมมอง ดังแสดงรายละเอียดต่อไปนี้1. What วัตถุประสงค์ของระบบคืออะไร2.How วิธีการและขั้นตอนการทำงานเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายเป็นอย่างไร3. When เริ่มดำเนินการเมื่อไหร่และคาดว่าจะให้ผลงานสำเร็จลุล่วงเมื่อไร4. Who บุคคลหรือกลุ่มคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบการดำเนินงานต่าง ๆ ภายในระบบ  ประเภทของระบบถ้าพิจารณาระบบกับปฏิกิริยาและความสัมพันธ์ที่ดีต่อสภาพแวดล้อม จะสามารถแบ่งระบบออกเป็น 2 ประเภท คือ ระบบปิดและระบบเปิด ซึ่งแสดงรายละเอียดได้ดังนี้  ระบบปิดเป็นระบบที่ไม่ปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม โดยมุ่งหมายที่การทำงานภายในตนเอง โดยไม่เกี่ยวข้องหรือไม่รับข้อมูลจากสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างของระบบปิดที่เห็นได้ชัดก็คือ ระบบการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมที่ไม่มีการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม เริ่มจากรับวัตถุดิบเข้ามาเป็นอินพุต ดำเนินตามกระบวนการผลิตของเครื่องจักร ได้ผลิตภัณฑ์ออกมาเป็นผลผลิต
เปรียบเทียบ และมีผลย้อนกลับเพื่อปรับแก้ให้กลับมาสู่มาตรฐาน โดยคุณสมบัติที่สำคัญเหล่านั้นสรุปได้ดังนี้

  1. ระบบจะต้องมีมาตรฐานที่สามารถยอมรับได้
  2. ระบบจะต้องมีวิธีการวัดว่าตรงกับสิ่งที่เป็นจริงตามที่ทำงานอยู่ร
  3. ระบบจะต้องมีการเปรียบเทียบการทำงานที่แท้จริงกับระบบมาตรฐานที่จัดทำขึ้นนั้น
  4. ระบบจะต้องมีวิธีการแสดงผลย้อนกลับ หลังจากใช้ระบบไปแล้วรู้จักกับตัวแบบถ้าพูดถึงระบบหรือการศึกษาถึงระบบต่าง ๆ สามารถทำได้ง่ายขึ้นเมื่อนำตัวแบบเข้ามาช่วยตัวต้นแบบหรือตัวแบบเป็นกระบวนการสร้างแบบ หรือตัวอย่างที่ใช้นำเสนอตัวสินค้า การบริการหรือระบบ ถ้าจะนึกถึงตัวต้นแบบมนุษย์เราใช้ต้นแบบอยู่ตลอดเวลา เช่น

  • ในการผลิตรถยนต์เพื่อแสดงถึงลักษณะของความปลอดภัยในการใช้งาน รูปลักษณ์ของรถ กำลังอัดอากาศ และความสะดวกสบายที่ผู้ใช้จะได้รับ
  • ผู้รับเหมาก่อสร้าง จะสร้างแบบของบ้านและโครงสร้างอื่น ๆ เพื่อแสดงรูปแบบและทางหนีไฟ
  • ผู้สอนให้ตัวอย่างคำถามของข้อสอบสำหรับการสอบที่จะมีขึ้น ตัวอย่างข้อสอบนี้จะเป็นตัวแบบของคำถามที่คิดว่าจะมีในข้อสอบในการพัฒนาระบบนั้น ตัวต้นแบบถือเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ต่อนักพัฒนาระบบ ตัวต้นแบบสร้างจากความต้องการพื้นฐาน หรือกระบวนการที่เกิดขึ้นซ้ำๆ กัน โดยมีการใช้ความรู้ของผู้ทำงานกับระบบเพื่อทบทวนตัวต้นแบบ และมีการแนะนำเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวต้นแบบและแก้ไขรวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตัวต้นแบบ ถ้าจะแบ่งประเภทของตัวต้นแบบสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือตัวแบบทั่วไป หมายถึง ตัวแบบที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสิ่งแวดล้อมได้อย่างกว้างขวางเป็นตัวแบบที่ใช้งานบ่อยมากที่สุด ตัวอย่างเช่น แบบฟอร์มจดหมาย หนังสือราชการตัวแบบเฉพาะเจาะจง หมายถึง ตัวแบบที่สร้างขึ้นเพื่องานเฉพาะอย่าง เพื่อนำไปใช้กับสถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจง ตัวอย่างเช่น รถยนต์ต้นแบบ นำตัวแบบไปใช้ในการพัฒนาระบบในการพัฒนาระบบใด ๆ ขึ้นมาก็ตาม มีกระบวนการหรือขั้นตอนมากมายกว่าที่จะเสร็จเป็นระบบขึ้นมา ซึ่งในระหว่างกระบวนการเหล่านั้นมีหลายส่วนที่นำเอาตัวแบบเข้ามาใช้งาน ดังแสดงรายละเอียดต่อไปนี้เก็บรวบรวมข้อมูลตัวต้นแบบถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ดีเครื่องมือหนึ่ง นักพัฒนาระบบเริ่มจากการสร้างตัวต้นแบบที่เป็นพื้นฐานของความต้องการของระบบ


ระบบเปิด
เป็นระบบที่ปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม มีการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันกับสภาพแวดล้อมเป็นระบบที่เกิดขึ้นในธุรกิจ เนื่องจากในการทำธุรกิจจะต้องมีการติดต่อสัมพันธ์กันระหว่างระบบสิ่งแวดล้อมภายนอกตลอดเวลา เช่น ลูกค้า ผู้เสนอขาย ปัจจัยการผลิต คู่แข่ง หรือระบบสนับสนุนการตัดสินใจ



กระบวนการสร้างตัวต้นแบบ
      ตัวต้นแบบเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาระบบ โดยเป็นเสมือนภาพจำลองการทำงานของระบบจริงที่กำลังจะสร้างขึ้น ดังนั้นการสร้างตัวต้นแบบจึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญโดยกระบวนการสร้าง



ระบบพื้นฐานที่ใช้ในธุรกิจ
    ทุกวันนี้ธุรกิจภาคเอกชน ทั้งที่มีขนาดใหญ่และขนาดเล็กล้วนต้องการสารสนเทศด้วยเหตุผลต่าง ๆ กัน ในการทำธุรกิจนั้น บริษัทและผู้บริหารต้องการสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ การตัดสินใจ และการแก้ปัญหา หากไม่มีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะต้องตัดสินใจหรือแก้ปัญหาแล้ว การตัดสินใจก็อาจจะผิดพลาดและก่อให้เกิดความเสียหายได้ ด้วยเหตุนี้เองการจัดเก็บสารสนเทศที่ถูกต้องและเหมาะสมเอาไว้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้สามารถค้นคืนมาใช้ได้เมื่อจำเป็นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการที่จะทำให้บริษัทบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ
  แม้ว่าการพัฒนาระบบสารสนเทศส่วนใหญ่จะมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยประกอบการทำงาน และ ช่วยในการตัดสินใจแก้ปัญหา นอกจากนี้ยังมีการสร้างระบบสารสนเทศเพื่อให้บริษัทและหน่วยงานใช้ สำหรับการวางแผนพัฒนาบริษัทและหน่วยงานในระยะยาว ระบบสารสนเทศแบบนี้เรียกว่า ระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์ (Strategic Information System หรือ SIS) บริษัทและหน่วยงานสามารถบรรลุความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ได้โดยการใช้กลยุทธ์ในการเสริมสร้างจุดแข็งให้มากที่สุด ความได้เปรียบในการแข่งขัน (competitive advantage) และ ความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ (strategic advantage) ในความหมายเดียวกัน กลยุทธ์ทางธุรกิจนั้นปกติหมายถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ตลาดใหม่ และ บริการแบบใหม่ ซึ่งรวมแล้วมีความหมายว่าพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องต่อความต้องการของลูกค้าที่ยังไม่มีใครตอบสนองมาก่อน การเปลี่ยนบริการให้รองรับลูกค้ากลุ่มใหม่ได้ การผูกมัดใจลูกค้าเดิมให้ภักดีต่อผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เรามีอยู่ หรือการดำเนินการใด ๆ ที่เพิ่มคุณค่าให้แก่บริษัท เมื่อพูดถึงองค์ประกอบรวมของระบบสารสนเทศก็อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการทำงานที่เกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งประกอบด้วย

  1. ฮาร์ดแวร์ ซึ่งได้แก่อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
  2. ซอฟต์แวร์ ซึ่งได้แก่โปรแกรมต่าง ๆ สำหรับประมวลผลข้อมูล
  3. ระบบสื่อสารโทรคมนาคม สำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่าง ๆ เช่น ระบบ LAN
  4. ข้อมูล ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับหน่วยงาน
  5. บุคลากร ซึ่งทำหน้าที่ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศ
  6. คู่มือและวิธีการปฏิบัติงาน ซึ่งจำเป็นสำหรับใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติงานให้สำเร็จ
      เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีบทบบาทสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ในสมัยปัจจุบัน โดยเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทั้งใน ระดับ มหภาค และจุลภาค โดยระบบสังคมใหม่เป็นสังคมที่ข้อมูลข่าวสารสามารถเดินทางได้อย่างอิสระ บุคคลสามารถเข้าถึงและ นำข้อมูล มาใช้ ประโยชน์ อย่างเต็มที่ ก่อให้เกิดพัฒนาการที่รวดเร็วทางเศรษฐกิจสังคม การเมือง และเทคโนโลยี นอกจากการเปลี่ยนแปลง ในระดับมหภาคแล้ว เทคโนโลยีสารสนเทศยังช่วยเสริมประสิทธิภาพและประสิทธิผลขององค์การ ซึ่งช่วยสร้างความ สามารถใน การแข่งขันและ ศักยภาพในการ เติบโตแก่ธุรกิจบูรณาการของเทคโนโลยีสารสนเทศกับการดำเนินธุรกิจ พัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศสร้างความท้าทายต่อผู้บริหารในการบริหารงานทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะการ บูรณา การระหว่างเทคโนโลยีกับการดำเนินธุรกิจ (Integration between Technology and Business Operations) โดยผู้บริหาร ต้องคำนึงถึงความสอดคล้องระหว่างการดำเนินธุรกิจ เทคโนโลยี และการตัดสินใจที่ต้องกระทำอย่างสอดคล้องกัน ผู้บริหารต้อง สามารถ จัดการกับเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถแบ่งเป็นขั้นตอน ดังต่อ
  1. กำหนดกลยุทธ์องค์การที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีสารสนเทศ
  2. กำหนดแผนงานสารสนเทศระดับองค์การและการดำเนินงาน กำหนดโครงการสร้างหน่วยงานสารสนเทศ
  3. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสารสนเทศขององค์การ (Information System Infrastructure) เช่นอุปกรณ์ ชุดคำสั่ง ระบบสื่อสาร และจัดการข้อมูล ระบบสำนักงานอัตโนมัติ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำหนดศักยภาพและความ ยืดหยุ่นในการปรับ แต่งของงาน สาร สนเทศ ในองค์การ
  4. กำหนดรายละเอียดการดำเนินงานภายในองค์การ พร้อมทั้งพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้มีความพร้อมต่อการ ประยุกต์ เทคโนโลยี สารสนเทศ ให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดแก่องค์การ  


การประยุกต์ใช้คอมพวเตอร์ในงานธุรกิจ

      ประมาณปี พ.ศ. 2500 คอมพิวเตอร์มีอยู่ในโลกนี้ไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นระบบเมนเฟรม ซึ่งมีขนาดใหญ่และราคาแพง ส่วนมากจะใช้งานทางด้านวิทยาศาสตร์เท่านั้น ซึ่งจะไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมากนัก แต่ในปัจจุบันคอมพิวเตอร์ได้มีขนาดเล็กลง และ ราคาก็ไม่แพงนัก ซึ่งก็คือ PC นั่นเอง คนทั่วไปสามารถซื้อหามาใช้ได้เหมือนกับ เครื่องใช้ไฟฟ้าโดยทั่วไป ในหน่วยงานทั้งภาครัฐบาลและเอกชน ก็มีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในหน่วยงานขึ้น และมีแนวโน้มที่จะมีการใช้สูงขึ้น โดยปัจจุบันการใช้คอมพิวเตอร์ มีหลากหลายลักษณะ ได้แก่

  • ในสถานศึกษา
  • ในงานวิศวกรรม
  • ในงานวิทยาศาสตร์
  • ในงานธุรกิจ
  • ในงานธนาคาร
  • ในร้านค้าปลีก
  • ในวงการแพทย์
  • ในวงการโทรคมนาคม
  • ในงานอุตสาหกรรม
  • ในวงราชการ



คอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา
  ปัจจุบันตามสถานศึกษาต่างๆ ได้มีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการเรียนการสอนอย่างมากมาย รวมทั้งใช้คอมพิวเตอร์ในงานบริหารของโรงเรียน เช่น การจัดทำประวัตินักเรียน ประวัติครูอาจารย์ การคัดคะแนนสอบ การจัดทำตารางสอน ใช้คอมพิวเตอร์ ในงานห้องสมุด การจัดทำตารางสอ น เป็นต้น ตัวอย่างในการประยุกต์ด้านการศึกษา เช่น โปรแกรมรายงานการลงทะเบียนเรียน โปรแกรมตรวจข้อสอบ เป็นต้น



คอมพิวเตอร์ในงานวิศวกรรม
  คอมพิวเตอร์สามารถจะทำงานในด้านวิศวกรรมได้ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ เขียนแบบ จนกระทั่งถึงการออกแบบโครงสร้างของสถาปัตยกรรมต่างๆ ต ลอดจน ช่วยคำนวณโครงสร้าง ช่วยในการวางแผน และควบคุมการสร้าง



คอมพิวเตอร์ในงานวิทยาศาสตร์
  คอมพิวเตอร์สามารถทำงานร่วมกับเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ เช่น เครื่องมือวิเคราะห์สารเคมี เครื่องมือการทดลองต่างๆ แม้กระทั่งการเดินทางของยานอวกาศต่างๆ การถ่ายพื้นผิวโลกบนดาวอังคาร เป็นต้น



คอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจ
  คอมพิวเตอร์สามารถจัดเก็บข้อมูลได้มากมาย มีความรวดเร็ว และถูกต้อง ทำให้สามารถได้ข้อมูลที่ช่วยให้สามารถ ตัดสินใจในการ ดำเนินธุรกิจ ตลอดจนงานทางด้านเอกสารงานพิมพ์ต่างๆ เป็นต้น



คอมพิวเตอร์ในงานธนาคาร
  ในแวดวงธนาคารนับได้ว่าคอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทมากที่สุด เพราะธนาคารจะมีการนำข้อมูล (Transaction) เป็นประจำทุกวัน การหาอัตราดอกเบี้ยต่างๆ นอกจากนี้การใช้บริการ ATM ซึ่งลูกค้าสามารถฝากถอนเงินได้จากเครื่องอัตโนมัติ ซึ่งมำให้สะดวกแก่ผู้ใช้บริการเป็นอย่างยิ่ง และเป็นที่นิยมแพร่หลายในปัจจุบัน



คอมพิวเตอร์ในร้านค้าปลีก
   ปัจจุบันเห็นได้ว่า ได้มีธุรกิจร้านค้าปลีกหรือที่เรียกว่า "เฟรนไซน์" เป็นจำนวนมาก ได้มีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในการ ให้บริการลูกค้า เช่น ให้บริการชำระ ค่าน้ำ - ไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ เป็นต้น จะเห็นได้ว่ามีการonline ระหว่างร้านค้าเหล่านั้นกับหน่วยงานนั้นๆ เพื่อสามารถตัดยอดบัญชีได้ เป็นต้น



คอมพิวเตอร์ในวงการแพทย์
   คอมพิวเตอร์ได้ถูกนำมาใช้ในการเก็บประวัติของคนไข้ ควบคุมการรับ และจ่ายยา ตลอดจนยังอยู่ในอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ เช่น เครื่องมือผ่าตัด บันทึกการเต้นของหัวใจ ตรวจคลื่นสมอง และด้านการหาตำแหน่งของอวัยวะก่อนการผ่าตัด เป็นต้น



คอมพิวเตอร์ในการคมนาคม และการสื่อสาร
   ในยุคปัจจุบัน เราเรียกว่าเป็นยุคที่เป็นการสื่อสาร แบบไร้พรมแดน จะเห็นได้ว่า มีการสื่อสารในรูปแบบต่าง ๆ ในเครือข่ายสาธาระณะ ที่เรียกว่า เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งสามารถที่จะสื่อสาร กับทุกคนได้ทั่วมุมโลก โดยผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์นี้ และยังมีโปรแกรมที่ สามารถจะใช้ในการพูดคุยกันได้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยกันใช้คุยกัน หรือจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์สื่อสาร กับเครื่องโทรศัพท์ที่บ้านหรือที่ทำงาน หรือแม้กระทั่งการส่ง pager ในปัจจุบันสามารถส่งทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไปยังเครื่องลูกได้ เป็นต้น สำหรับการใช้คอมพิวเตอร์ ในทางโทรคมนาคมจะเห็นว่า ปัจจุบันการจองตั๋วเครื่องบิน จะมีการนำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้เป็นจำนวนมาก รวมถึงการจองตั๋วผ่านทาง Internet ด้วยตนเอง เห็นได้ว่าเพิ่มความสะดวกสบาย ให้แก่ผู้ใช้บริการ และนอกจากนี้ ยังมีเครือข่ายของสายการบินทั่วโลก ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถเลือกจองได้ ตามสายการบินต่างๆ เป็นต้นตัวอย่าง การตรวจสอบราคาค่าโดยสาร และเวลาของแต่ละเที่ยวบินผ่านทาง internet



คอมพิวเตอร์ในงานด้านอุตสาหกรรม
  ในวงการอุตสาหกรรมนับได้ว่า คอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก ตั้งแต่การวางแผนการผลิต กำหนดเวลาการผลิต จนกระทั่งถึงการผลิตสินค้า ควบคุมระบบ การผลิตทั้งหมด ในรายงานทางอุตสาหกรรม ได้มีการนำคอมพิวเตอร์มา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น